วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

บทที่ 7 กลโกงบนโลกออนไลน์


บทที่ 7 กลโกงบนโลกออนไลน์

ในทุกสังคมปะปนไปด้วยคนดี และคนไม่ดี การทำธุรกิจ ก็ไม่มีการแยกฝั่งว่า คนซื้อดี คนขายไม่ดี ทั้งสองฝ่ายก็ยังมีทั้งคนที่ดีและไม่ดี ดังนั้นผู้ที่คิดจะทำการค้าออนไลน์จึงต้องศึกษาวิธีป้องกัน ไม่ว่าท่านจะตกอยู่ในสถานะใด

ทุกวันนี้การทำค้าบนโลกออนไลน์ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีก็มีหน้าเว็บขายของแล้ว บางครั้งประกาศยังไม่ทันเกินชั่วโมงก็มีผู้สนใจโทรศัพท์ติดต่อสั่งซื้อสินค้านั้นทันที โดยเฉพาะในเว็บชุมชนซึ่งมีผู้เข้าชมวันละเป็นแสนคน

ข้อจำกัดของผู้ทำเว็บไซต์สาธารณะ ที่ด้านหนึ่งก็ต้องการปริมาณคนเข้าเยี่ยมชมมากๆ มาร่วมสร้างข้อมูล เพื่อหารายได้จากป้ายโฆษณา แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่มีเวลามาคัดกรองข้อมูลได้ว่า ประกาศใดมาจากกลุ่มมิจฉาชีพ สิ่งที่พวกเขาทำได้คือการ เตือน พยายามคัดเลือกคน ด้วยการสมัครสมาชิก ยืนยันด้วยบัตรประชาชน ระบุตัวตน และขอความร่วมมือจากผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ในการแจ้งลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสม...
แต่ก็ยังไม่ได้ผลเสียทีเดียวนัก เพราะอีกซีกหนึ่งของหน้าเว็บ นี้ยังเต็มไปด้วย “บัญชีดำ” พร้อมหมายเลขบัญชีธนาคาร ที่เคยมีผู้โอนเงินไปแล้วไม่ได้รับสินค้าอยู่มากมาย.....

รายชื่อบัญชีของบุคคลเหล่านี้ บางทีก็มิใช่ผู้ที่กระทำความผิดโดยตรง พวกเขาเพียงหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพให้ไปเปิดบัญชีธนาคารทิ้งไว้ โดยยอมรับเงินค่าจ้างเพียง 500 บาท จากนั้นคนเหล่านี้ก็เอาบัตรเอทีเอ็มของเขาไป รอเบิกเงินที่มีเหยื่อหลงเชื่อแล้วโอนไปให้

การสาวถึงผู้กระทำความผิดในเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะไปจับเจ้าของบัญชีก็จะได้แต่พวกตาสีตาสา ที่ก็ตกเป็นเหยื่อเหมือนกัน

เรื่องนี้ผู้ซื้อจึงต้องพึงสังวรและเตือนตัวเองว่า “อย่าโลภ” และอย่าไว้ใจคนบนโลกอินเทอร์เน็ตมากเกินไป...
หลายคนยอมรับว่าที่รีบโอนเงินให้ก่อน เพราะเห็นว่า ของมีราคาถูก กลัวผู้อื่นจะมาซื้อตัดหน้า
บางคนใจแข็งไม่ยอมให้เงินก่อน แต่ยังอยากได้สินค้า ซึ่งเป็นโทรศัพท์รุ่นไฮโซ แต่เห็นประกาศขายถูกๆ โดยอ้างว่าร้อนเงิน ดันโทรศัพท์ไปนัดซื้อขายกับเขาอีก คนซื้อนั้นเตรียมเงินไปจ่าย แต่คนขายไม่มีของจะให้ แถมเอาอาวุธไปด้วย สถานที่นัดพบยังเป็นลานจอดรถของห้างร้างไร้ผู้คนอีก คนซื้อรายนั้นเลยถูกสะเดาะเคราะห์ 2 ต่อ สินค้าที่ต้องการก็ไม่ได้, กระเป๋าเงินและทรัพย์สินที่ติดตัวไป ยังโดนคนร้ายไถไปได้อีก....

คราวหน้าไม่แน่ใจก็ให้นัดเจอกันหน้าสถานีตำรวจ จะได้ปลอดภัยทั้งสองฝ่าย....

อีกรายเป็นเพื่อนสนิท ที่ทำการค้าออนไลน์มานาน เป็นทั้งคนซื้อและขาย ไล่มาตั้งแต่ที่ดิน, เครื่องคอมพิวเตอร์, ล้อแม๊กซ์ จนทุกวันนี้แทบไม่เชื่อว่า ตัวเองจะถูก “ลบลาย” ได้เหมือนกัน

เขาเล่าว่าหลังจากอ่านประกาศขายโน๊ตบุ๊ครุ่นหนึ่งซึ่งมีสภาพใหม่แต่ราคาถูกมาก เขาสนใจจึงโทรศัพท์ติดต่อนัดให้คนขายมาส่งมอบโน๊ตบุ๊คที่บ้าน แล้วจึงจะชำระค่าสินค้าให้

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ก็ยังไม่เห็นคนขายมาถึง โทรศัพท์ไปสอบถามก็ได้ความว่าออกเดินทางมาแล้ว แต่ประสบปัญหาเครื่องยนต์รถขัดข้อง ขณะนี้ต้องจอดซ่อมที่อู่ก่อน ถ้าเรียบร้อยแล้วจึงจะไปต่อได้
อีกสองชั่วโมงถัดมา ฝั่งคนขายจึงโทรศัพท์มาบอกว่าซ่อมเสร็จแล้ว แต่มีปัญหาเรื่องเงินค่าซ่อม ขอให้ผู้ซื้อโอนเงินมาจ่ายค่าซ่อมรถ 2,000 บาท ก่อน จึงจะเอารถขับออกจากอู่ไปส่งโน๊ตบุ๊คให้ได้ โดยเงินจำนวนนี้จะหักจากค่าโน๊ตบุ๊คเลย (โน๊ตบุ๊คตกลงราคาซื้อขายกันที่ 7,000 บาท)

เพราะความใจร้อนอยากได้ของ และเข้าใจไปเองว่าเจ้าของเครื่องโน๊ตบุ๊คนี้คงเดือดร้อนเรื่องเงินทองจึงประกาศขายถูก ๆ เพื่อนผมดันหลงเชื่อไปโอนเงินให้เขาก่อน....

แน่นอนว่า ต่อให้เวลาผ่านไปนานเพียงไร เพื่อนผมคนนี้ก็ไม่มีโอกาสได้สัมผัสโน๊ตบุ๊คเครื่องนั้นอย่างเด็ดขาด!!!

เพราะคนขายหายเข้ากลีบเมฆไปพร้อมกับเงิน 2 พันบาทนั้นแล้ว!!!

ครั้นจะไปตามเอาเรื่องเอาราว ก็คงไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป เพื่อนจึงทำใจได้แต่แผ่เมตตาไปให้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ส่วนประสบการณ์ตรงของผมนั้นเกิดขึ้น เมื่อสมัยเป็นผู้บริหาร บริษัทไอทีที่ให้บริการพื้นที่ฝากเว็บไซต์และมีระบบชำระเงิน ช่วงนั้นผมต้องทำหน้าที่ดูแลบัญชี (Merchant ID) ของลูกค้า ด้วย มีอยู่รายหนึ่งส่งสินค้าไปแล้ว เป็นเวลาเกือบสามเดือน ปรากฏว่าเจ้าของบัตรเครดิตเพิ่งจะปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยอ้างว่าไม่ได้เป็นผู้ทำรายการสั่งซื้อสินค้านี้!? ธนาคารจึงเรียกเงินที่โอนให้คืนทันที (Chargeback)

ปกติก่อนที่ธนาคารจะเรียกเงินคืน (Chargeback) นั้น จะเปิดโอกาสให้เจ้าของสินค้ายื่นหลักฐานคัดค้าน เช่น ในกรณีที่ไม่ได้รับสินค้า, ผู้ขายสามารถนำลายเซ็นต์ในใบกรอกรับสินค้าจากผู้ซื้อมายืนยันได้, แต่กรณีที่เจ้าของบัตรบอกว่าไม่ได้ทำรายการสั่งซื้อเองนั้น เป็นเรื่องยากที่จะหาหลักฐานมายืนยัน ยกเว้นที่อยู่ในการจัดส่งสินค้าคราวนั้นตรงกับที่อยู่ของเจ้าของบัตรฯ ซึ่งเป็นไปได้ที่บุคคลในครอบครัวของเจ้าของบัตรเป็นผู้แอบทำรายการ หากเจ้าของบัตรฯไม่ต้องการสินค้านั้นก็ต้องส่งคืนกลับมายังผู้ขาย

ปัญหาคือ ที่อยู่ในการจัดส่งสินค้าส่วนมากมักจะไม่ตรงกับที่อยู่ของเจ้าของบัตรเครดิต!!??

ถ้าเป็นรายการสั่งซื้อมูลค่าน้อยประมาณ 10-20 เหรียญ เจ้าของสินค้ามักถือว่าเป็นการฟาดเคราะห์ เพราะถือว่าไม่คุ้มกับการต้องเสียเวลา ไปติดต่อตามหลักฐานจากบริษัทขนส่ง

แต่สินค้าคราวนี้เป็นแหวนเพชร ตีมูลค่าเป็นเงินบาทไทยในคราวนั้นตกวงละ 1หมื่น 2 พันบาท
รวม 2 วง มูลค่า 2 หมื่น 4 พันบาท เจ้าของสินค้าไม่ยอมแน่นอน เพราะเธอถือว่าเสียของไปแล้ว และมูลค่าแหวนเพชรก็เป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว พอสินค้าพ้นประตูร้านไปแล้ว มูลค่ามันลดลงโดยปริยาย

ผมตกเป็นเจ้าทุกข์แบบไม่ได้เตรียมใจมาก่อน เพราะเงินจำนวนดังกล่าวผมเป็นผู้ทำเรื่องเบิกจากบริษัทฯ ชำระค่าสินค้าให้เธอไปเรียบร้อยแล้ว!!!!

งานนี้ถ้าหาเงินมาคืนบริษัทไม่ได้ ผมต้องถูกตัดเงินเดือนตามระเบียบ

การฉ้อโกงผ่านทางอินเทอร์เน็ตในสมัยนั้น ยังไม่รู้เลยครับว่าจะไปแจ้งความที่ไหน เพราะร้านค้าบนโลกออนไลน์นั้นขายของได้ทุกสถานที่...

สงสัยว่าบุญเก่าผมยังมี เจ้าของร้านอัญมณีรายนี้ พบว่าผู้ซื้ออยู่จังหวัดฉะเชิงเทรา ไม่ไกลจากที่ตั้งบริษัทเธอ ที่อยู่รังสิต.... ด้วยความกังวล ว่าสินค้าจะตกหล่นหายระหว่างขนส่ง เธอจึงขับรถไปส่งสินค้าให้ลูกค้ากับมือ

ใช้สถานีรถไฟจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นที่รับมอบสินค้า...
ผมจึงไปแจ้งความที่ สภอ. ฉะเชิงเทรา

ไปครั้งแรกก็ต้องเล่ากระบวนการซื้อขายของผ่านเว็บไซต์ให้ร้อยเวรที่รับแจ้งฟังจนเหนื่อย ทางเจ้าหน้าที่ก็ดีใจหายพยายามเปิดตำรากฏหมายว่าจะใช้มาตราไหนมาเอาผิดผู้ร้าย เพราะยุคนั้นยังไม่มี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

ดูจากสภาพการณ์ที่เอาของผู้อื่นไปโดยมิชอบแล้วน่าจะเข้าข่าย “ฉ้อโกง” หรือไม่ก็ “ยักยอกทรัพย์”
รู้ชื่อและที่อยู่ผู้กระทำผิดแล้ว ก็ยังยกกำลังตำรวจไปจับไม่ได้ ต้องออกหมายเรียกตามกฏหมาย 2 ครั้ง จึงจะออกหมายจับผู้กระทำความผิดได้...

กรณีแบบนี้ ถ้าผู้ขายมีความรอบคอบ ควรจะให้ผู้ซื้อถ่ายสำเนาบัตรประชาชนมาพร้อมเซ็นชื่อรับสินค้าไป ถ้ามีหลักฐานใบนี้จะช่วยให้ตำรวจสรุปสำนวนและทำคดีได้ง่ายขึ้น
เกือบสองสัปดาห์ จนผมทำเรื่องตัดเงินเดือนตัวเองเตรียมเสนอผู้บริหารเรียบร้อยแล้ว ก็ได้รับข่าวดีว่าให้มาดูตัวผู้ต้องหา เพราะตำรวจจับได้แล้ว พร้อมของกลาง!

พอเห็นหน้าผู้ต้องหา ผมตะลึงนึกไม่ถึงว่าจะเป็นผู้หญิงวัยไม่เกิน 23 ปี ที่สำคัญเธอมีปัญหาทางด้านสุขภาพด้วย เธอเครียดเกร็งกำเริบทุกครั้งที่ตำรวจสอบปากคำ...
.
เธอเล่าว่า ในขณะที่เธอไปใช้บริการ อินเทอร์เน็ต ในร้านคาเฟ่อินเทอร์เน็ตแห่งหนึ่ง ได้มีโอกาสแชตกับผู้ชายที่อยู่ต่างประเทศคนหนึ่ง เขาบอกว่าจะให้แหวนวงหนึ่งแก่เธอตอบแทน ถ้าเธอให้ที่อยู่ในการรับสินค้ากับเขา เธอหลงเชื่อตอบตกลง เพราะคิดว่าไม่เสียหายอะไร ในเวลาต่อมา เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าของร้านอัญมณีว่าจะเอาแหวนมาส่งให้ 2 วง เธอก็ไปรับของตามปกติ ผู้ชายยังแชตมาบอกให้เธอส่งแหวนที่ได้รับนั้นมาให้เขาวงหนึ่งด้วย ซึ่งเธอก็จัดส่งไปให้ตามที่อยู่ในต่างประเทศที่เขาระบุ!!!

ขั้นตอนเหล่านี้ถูกทำกับร้านเพชรพลอยร้านอื่นๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งโดนตำรวจซ้อนแผน แกล้งมาส่งแหวนแล้วทำการจับกุมทันที

เมื่อติดตามไปที่บ้านผู้ต้องหาพบเครื่องคอมพิวเตอร์ และแหวนของร้านเพชรร้านอื่น ส่วนแหวน 2 วงที่เกือบทำให้เงินเดือนผมพร่องไปนั้น เจอแค่เพียงวงเดียว เพราะอีกวงเธอบอกส่งให้กับชายนิรนามนั้นไปแล้ว
เธอยอมรับผิดและยินดีจ่ายค่าเสียหายในครั้งนี้ ผมขอรับเป็นเงินสดเท่ามูลค่าที่จ่ายให้กับเจ้าของร้านอัญมณีนั้นไป เพราะเกิดความสงสาร เนื่องจากสุขภาพเธอทำท่าว่าจะทรุดหนัก เธอเอาแหวนที่เหลืออยู่ไปขายให้กับร้านเพชรในละแวกนั้น ได้เงินมาเพียง 5 พันบาท ส่วนที่เหลือต้องหยิบยืมญาติมาเติมให้จนครบ

ผมอยากซื้อหนังสือ “ไม่มีของฟรีในโลก” ให้เธออ่าน......
แต่รู้ดีว่าตอนนี้ เธอได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
เธอคงไม่ต้องการหนังสือเล่มนั้นแล้วหล่ะ!?!

1 ความคิดเห็น:

  1. Anthurium เศรษฐีเงินหนา
    แหล่งผลิตและจำหน่าย หน้าวัว เงินหนา ทั้งในและต่างประเทศ
    We are providing Anthurium from Thailand
    pls. visit our blog http://www.thailandanthurium.blogspot.com/
    e-mail anthurium2009@gmail.com
    Tel. 66 86 394 5711

    ตอบลบ